เหมือนเป็นโชคดีที่วงการวอลเลย์บอลบ้านเรามีดาวรุ่งถือกำเนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปพบกับ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ หรือ หยก ซึ่งปัจจุบันลงเล่นให้กับสโมสร สุพรีม ชลบุรี- อีเทค รวมถึงมีดีกรีเป็นนักตบลูกยางทีมชาติไทยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี แถมเธอกำลังโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงจนถูกจับตามองจากทั้งแฟน ๆ วอลเลย์บอล และสื่อหลาย ๆ สำนัก หากใครยังไม่รู้จักกับเจ้าตัว ก็ลองมาอ่านบทความ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ เพชรเม็ดงามของวงการวอลเลย์บอลไทย กันว่าเส้นทางนักกีฬาวอลเลย์บอลของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ มีชื่อเล่นว่า หยก โดยน้องเริ่มหัดเล่นกีฬาวอลเลย์บอลตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ซึ่งในช่วงแรก ๆ ก็แค่เล่นกันสนุก ๆ กับเพื่อน ๆ เพื่อรอเวลากลับบ้านพร้อมพี่สาว จนวันหนึ่งคุณครูที่โรงเรียนมาเห็นก็คิดว่าเธอน่าจะเอาดีทางนี้ได้จึงลองให้เข้ามาฝึกซ้อม จนกระทั่งมีโอกาสย้ายไปยังโรงเรียนที่มีความจริงจังในเรื่องวอลเลย์บอลมากกว่า ทำให้ หยก เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแข่งขันวอลเลย์บอลในระดับจังหวัดจนถึงระดับประเทศ
เมื่อ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ ได้ถูกโค้ชจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ดึงตัวเข้ามาร่วมทีมทำให้เจ้าตัวยิ่งมีความเก่งกาจมากขึ้นว่าเดิม เพราะนอกจากรูปร่างที่สมส่วนสูงใหญ่เหมาะกับกีฬาวอลเลย์บอลอยู่แล้ว ยังได้โค้ชจากโรงเรียนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการปลุกปั้นนักตบลูกยางช่วยฝึกฝนอีกด้วย มันจึงทำให้เธอโชว์พรสวรรค์ที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยน้องบอกว่าตอนแรก ๆ ที่เล่นวอลเลย์บอลก็เล่นเพียงแค่อย่างเดียวไม่ได้ติดตามชมกีฬาชนิดนี้เลย แต่พอได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาก็หันมาเริ่มชมการแข่งขันในรายการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับสโมสร หรือระดับทีมชาติ และหากมีเวลาก็จะตามไปดูเกมในสนามถึงที่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจพร้อมตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ซึ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามลำดับ โดยตอนนี้เจ้าตัวลงสนามให้กับสโมสรก็พยามทำส่วนนี้ให้ดีก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่ถูกเรียกตัวเข้าไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็จะใช้โอกาสนั้นสร้างประโยชน์กับทีมให้มากที่สุด

การที่ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ ได้รับโอกาสให้มาเรียนที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งศิษย์เก่าอย่าง อัจฉราพร คงยศ และ ปลื้มจิตร ถินขาว ที่เป็นตำนานทีมชาติไทย รวมไปถึงนักกีฬาระดับแนวหน้าอีกหลายคนของประเทศด้วยเช่นกัน ดังนั้นการก้าวขึ้นไปยังระดับสูงยิ่งกว่าปัจจุบันก็มีสิทธิเป็นไปได้ แต่เมื่อเข้ามาเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนี้ก็ต้องมีการปรับตัวพอสมควร เพราะเจ้าตัวต้องมาอยู่ในหอพักนักกีฬา ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็อยู่แค่ที่บ้านกับพ่อแม่มาโดยตลอด และใช้โทรศัพท์ได้แค่วันละครึ่งชั่วโมงเพื่อโทรหาครอบครัว การปรับเปลี่ยนจากชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยในช่วงแรก ๆ ก็มีความลำบากพอสมควร ต้องรับผิดชอบตนเองมากขึ้น ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งมันไม่ได้ง่ายนัก แต่ก็ยังดีตรงที่ครอบครัวของเธออยู่ในกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ไกลจากโรงเรียนมากเท่าไร

ระยะแรก ๆ ที่ตนเองต้องมากินนอนอยู่หอพักนักกีฬาครอบครัวเดินทางมาหา อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ บ่อยมาก ๆ เพราะความเป็นห่วง และคิดถึง เนื่องจากเธอไม่เคยห่างจากพ่อแม่มาก่อน ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา ซึ่งหลังจากที่ หยก ปรับตัวได้แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่ต้องมาเยี่ยมบ่อย ๆ เหมือนเช่นแต่ก่อนแล้ว เทคโนโลยีสมัยนี้ก็ดีเพราะเราสามารถวิดีโอคอลพูดคุยเห็นหน้ากันได้แบบสะดวก หากตนมีการแข่งขันครอบครัวก็จะคอยตามไปเชียร์ในทุกสนามอยู่แล้ว และเมื่อทุกอย่างลงตัวขึ้น ก็มีความรู้สึกดีใจที่ได้เข้าเป็นนักวอลเลย์บอลของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โดยหนึ่งในการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวได้พบเจอกับ อัจฉราพร คงยศ หรือ เพียว ที่เป็นไอดอลของตัวเองอีกด้วย ถึงแม้ว่า หยก จะเข้ามาไม่ทันรุ่นกันกับ เพียว แต่ก็ยังถือว่าได้เรียนที่เดียวกับต้นแบบในการเล่นวอลเลย์บอลของตนเอง ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก ๆ เพราะมองว่า อัจฉราพร คงยศ เป็นแบบอย่างที่ดี มีสไตล์ มีเสน่ห์ มีเทคนิคขั้นสูง ทำให้ตนเองชื่นชอบเป็นพิเศษ

การที่จะเป็นนักกีฬาอายุน้อยซึ่งประสบความสำเร็จไปด้วยต้องไม่ทิ้งการเรียน โดยนอกจากการใช้ชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว เมื่อ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ ขึ้นสู่ชั้นมัธยมก็ต้องมีความรับผิดชอบ และมีระเบียบวินัยมากกว่าเดิม เพราะมันจะไม่เหมือนตอนสมัยประถมที่การเรียนยังไม่หนัก และมีแมตซ์แข่งขันไม่เยอะ โดย หยก ได้แบ่งเวลาออกเป็นตอนเช้าที่ต้องเข้าเรียนตามปกติเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ ส่วนตอนเลิกเรียนก็ไปยิมซ้อมวอลเลย์บอล หากวันใดมีการบ้านก็จะรีบทำให้เสร็จก่อน หรือเก็บไว้ทำวันเสาร์อาทิตย์ถ้ามีเวลาว่าง แต่เมื่อเข้าช่วงแข่งขันแค่เข้าเรียนตนเองก็ยังแทบจะยังไม่มีเวลาเลย โดยจะใช้วิธีตามเก็บการบ้านที่อาจารย์สั่งเอาไว้แล้วค่อยส่งในคราวต่อไปแทน

มาถึงการฝึกซ้อมอันแสนหนักหน่วง ที่มีความจริงจังเข้มข้นสูงทำให้ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ ท้อใจจนเกือบจะลาออกแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้ตนเองไม่เคยเจอมาก่อน ประกอบกับวัยที่ยังรับความกดกันได้ไม่มากหนัก เรียกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อขอชีวิต ทำให้ตอนนั้นเธอไม่แน่ใจว่าจะทนต่อไปได้หรือเปล่า โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในตอนอยู่ประมาณชั้นมัธยมต้น ซึ่งเวลานั้นยังพิสูจน์ฝีมือไม่ได้ ทำให้ยังไม่ได้รับโอกาสลงเล่นซักเท่าไร ถึงกับโทรไปปรึกษากับครอบครัวว่าไม่อยากสู้แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ให้กำลังใจมาตลอด กระทั้งขึ้นชั้นมัธยม 3 เจ้าตัวก็ได้ลงแข่งขันมากขึ้น ความรู้สึกท้อแท้ที่เคยมีก็ค่อย ๆ หายไป และอยากจะพัฒนาตนเองเพื่อให้กลายเป็นตัวหลักอย่างต่อเนื่อง เพราะตอนนั้นก็รู้ถึงข้อเสียของตัวเองที่มักจะทำพลาดบ่อย ตีติดบ้าง ตีพลาดบ้าง หรือหลายครั้งก็แก้ลูกไม่ได้

เมื่อนักกีฬาวอลเลย์บอลรุ่นพี่ทำเอาไว้ได้ดี รุ่นน้องจึงเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในสนามที่มีเทคนิค มีความสามัคคีรู้ใจเข้าใจกันระหว่างเกม หรือเรื่องนอกสนามที่วางตัวอย่างเหมาะสม ทำให้เยาวชนเรียนรู้ว่าการจะประสบความสำเร็จนั้นต้องทำเช่นไรบ้าง โดย อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ เป็นหนึ่งในนักตบลูกยางดาวรุ่งที่กำหนดเป้าหมายชีวิตในวงการวอลเลย์บอลเอาไว้สูง เพราะได้ซึบซับจากรุ่นพี่หลาย ๆ คน โดยเป้าหมายในตอนนี้คือต้องการทำผลงานในระดับสโมสรให้ดีกว่าเดิม ซึ่งจะส่งให้มีโอกาสติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ในอนาคต หากถามว่าทำไมตนเองถึงได้รับอิทธิพลจากนักกีฬารุ่นก่อน ๆ ถึง ก็เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าการแข่งขันวอลเลย์บอลไม่ได้แค่เพียงผลแพ้ชนะ แต่ต้องทุ่มเท่อย่างเต็มที่ สนุกไปกับเกม ซึ่งมันจะส่งให้เราโชว์ฟอร์มได้ดี และกองเชียร์ ๆ ก็จะเห็นถึงความตั้งใจของเราด้วย

สุดท้าย อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ เสริมว่าสิ่งสำคัญสำหรับนักตบลูกยางไทยที่ทำให้แฟน ๆ ทั่วโลกชื่นชอบก็คือ ความสนิทสนมซึ่งถูกถ่ายทอดจากการเก็บตัวฝึกซ้อมแบบต่อเนื่องยาวนาน เวลาลงสนามจึงเกิดความเข้าใจกันสูง ช่วยเหลือกันและกัน เหมือนครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาแสนนาน มีรอยยิ้มตลอดเวลาแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ส่วนเจ้าตัวบอกว่าความสุขอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือเวลาซ้อมได้ยอดเยี่ยมก็จะพอใจ แต่หากซ้อมได้แย่ก็จะเกิดความเครียดต่อเนื่องไปจนถึงวันลงแข่ง จึงต้องแก้ตรงนี้ให้ได้ และตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องทำแต้มให้ได้เยอะที่สุดพร้อมทั้งพยายามลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุดด้วย
และนี่ก็คือบทความ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ เพชรเม็ดงามของวงการวอลเลย์บอลไทย โดยหลังจากนี้แฟน ๆ วอลเลย์บอลก็มารอดูว่า หยก จะผลักดันตนเองจนก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้เมื่อไร ซึ่งผลงานในระดับสโมสรจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่คอยชี้วัดศักยภาพของเจ้าตัว ยังไงก็ฝากทุก ๆ คนเอาใจเธอด้วยอีกแรงแล้วกันนะ