วงการวอลเลย์บอลบ้านเรานอกจากนักตบลูกยางหญิงซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว ช่วงหลัง ๆ นักตบลูกยางชายก็ได้รับความนิยม และอยู่ในกระแสเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะหนุ่ม ๆ ไทยสามารถโชว์ผลงานได้เป็นชิ้นเป็นอันไม่ว่าจะในสโมสร หรือทีมชาติ หากจะถามว่ามีนักกีฬาคนไหนที่โดดเด่นมีบ้าง หนึ่งในรายชื่อนั้นก็ต้องมี ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ เทพบีหลังแห่งวงการวอลเลย์บอลไทย ติดอยู่ด้วยแน่นอน
ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ หรือ มอส เกิดวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1997 ในจังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันอายุ 26 ปี สูง 184 ซม. เป็นผู้เล่นตำแหน่งบีหลัง หรือตัวตบตรงข้ามหัวเสา สังกัดสโมสรไดมอนด์ ฟู้ด ที่ชื่นชอบกีฬาวอลเลย์บอลเป็นชีวิตจิตใจ จนนำมันมาต่อยอดกลายเป็นอาชีพ และสามารถสร้างฐานะพร้อมชื่อเสียงให้แก่ตนเองได้ ส่วนแฟน ๆ วอลเลย์บอลพันธุ์แท้คงจะคุ้นเคยกับเอกลักษณ์ของเขาที่ใช้ความถนัดซ้ายเล่นงานคู่ต่อสู้ในเกมรุกอย่างหนักหน่วงได้เป็นอย่างดี
ช่วงยังเป็นเด็ก ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ อยู่ในฐานะค่อนไปทางค่อนข้างลำบาก ครอบครัวทำอาชีพเป็นเกษตรกร ทำไร่อ้อย ทำนา คล้ายกับคนแถว ๆ นั้น แต่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบงานหนักจึงเลือกไปทำงานเสริมเป็นเด็กเฝ้าร้านเกมส์เพื่อหาค่าขนมเอง
เมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนชุมแพศึกษา เนื่องจาก ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ เป็นเด็กที่ชื่นชอบกีฬาวอลเลย์บอลอยู่แล้ว เมื่อคุณครูเห็นเขาตอนนั้นจึงได้ชักชวนมาเข้าทีมโรงเรียน พอผ่านไป 1 ปี เจ้าตัวทั้งได้ซ้อมได้ลงแข่งขันอย่างจริงจังจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้ยิ่งรู้สึกรักวอลเลย์บอลมากกว่าเดิม ซึ่งในช่วงแรก ๆ เขาเริ่มซ้อมจากพื้นฐานก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีอันเดอร์บอล รับบอล ตบบอล หรือแม้แต่กระโดดตบ พอซ้อมมากขึ้นก็ชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งมีกองเชียร์มาชมก็ยิ่งอยากจะโชว์ฟอร์มดี ๆ ให้ได้เห็น
ตอนนั้นโรงเรียนชุมแพศึกษาดาเริ่มต้นสร้างทีมในปี ค.ศ. 2011 โดย โค้ชภัทรพงศ์ แซงจัน และได้ทำการส่งเด็ก ๆ ไปลงแข่งในรายการต่าง ๆ มากมาย ตอนแรกก็แข่งขันกันแค่ภายในจังหวัด เสร็จแล้วจึงขยับขึ้นไปยังรายการของสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในระดับภาค
ช่วงนั้น ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ ได้ลงแข่งขันในหลายรายการของจังหวัด ซึ่งก็ทำผลงานยอดเยี่ยมจนสามารถคว้าแชมป์มามากมาย แต่พอต้องขยับขึ้นไปแข่งขันในระดับภาคอาจจะยังโชว์ฟอร์มไม่ดีนัก และมักจะแพ้ให้กับโรงเรียนชื่อดังทางด้านวอลเลย์บอลอย่างหนองกุงศรีวิทยาคารจากจังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อสะสมประสบการณ์มากยิ่งขึ้น โรงเรียนชุมแพศึกษาก็เริ่มกลายเป็นอีกทีมที่น่ากลัวของทางฝั่งภาคอีสาน เพราะปี ค.ศ. 2014 พวกเขาสามารถจบอันดับ 3 ในรอบคัดเลือกก่อนที่จะได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในรายการวอลเลย์บอลเยาวชน PEA ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยได้สำเร็จ ซึ่งนี่ก็คือช่วงเวลาที่ มอส กำลังจะการก้าวมาสู่เวทีระดับทีมชาติ และระดับสโมสรอาชีพ
พอได้ซ้อม และลงแข่งขันบ่อย ๆ ก็ช่วยให้ ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ มีพัฒนาการต่อเนื่อง และเมื่อเจ้าตัวขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จึงได้รับโอกาสให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติไทยครั้งแรก และต้องไปทำศึกวอลเลย์บอลชิงแชมป์อาเซียน ปี 2014 ณ ประเทศพม่า แถมตอนนั้นทีมหนุ่มไทยยังสามารถเก็แชมป์มาได้ แต่ด้วยความที่อายุน้อย มอส จึงเป็นแค่ตัวสำรองไปหาประสบการณ์ และยังไม่มีรายชื่อติดทีมในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์เอเชีย ที่บาห์เรน ซึ่งเป็นรายการที่ใหญ่กว่า แต่ภายในปีนั้นเองเขาก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสร ชลบุรี-อี.เทค-แอร์ฟอร์ซ
จนถึงเวลาที่ ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ เรียนจบชั้นมัธยมปลาย และแม้เจ้าตัวจะยังไม่โดดเด่นอะไรมากนักในวงการวอลเลย์บอล แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมความตั้งใจจริงมุ่งมั่นจะเอาดีทางด้านนี้ สุดท้าย มอส จึงติดทีมเยาวชนไทยชุดอายุต่ำกว่า 20 ชิงแชมป์เอเชีย ปี ค.ศ. 2016 ณ ประเทศไต้หวัน ซึ่งตอนนั้นเองที่เขาโชว์ฟอร์มเก่งออกมาให้ทุก ๆ คนได้เห็น
สำหรับผลงานในรายการถ้วย ก ที่สโมสร ชลบุรี-อี.เทค-แอร์ฟอร์ซ ต้องเล่นร่วมกับทีมระดับประชาชน ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ ถูกวางเอาไว้ในตำแหน่งกัปตันทีม โดยมีพี่ ๆ ลงมาช่วยเสริมทัพเพื่อความแข็งแกร่งในบางส่วน จนพาทีมจบอันดับ 4 ของรายการนี้ แถมยังพาทีมไปคว้าแชมป์อาเซียนมาครองได้เพิ่มอีก 1 สมัย
ส่วนทีมชาติไทยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ที่ต้องไปแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์เอเชีย ณ ประเทศไต้หวัน ก็ทำผลงานได้ดี ซึ่งรอบแบ่งกลุ่มนั้นสามารถเอาชนะหมดทั้ง 3 เกม ต่อมาในรอบ 2 และรอบรองชนะเลิศฟอร์มถึงจะดรอปลงไปจนไม่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้าย แต่ก็เป็นการแข่งขันที่ดีสำหรับเขามาก ๆ โดยสุดท้ายก็ยังจบในอันดับที่ 5 นับเป็นอันดับยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว
พอจบทัวร์นาเมนต์ทีมชาติไทยปี ค.ศ. 2016 แล้ว สโมสร ชลบุรี-อี.เทค-แอร์ฟอร์ซ ที่ ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ สังกัดอยู่ก็เปลี่ยนชื่อทีมเป็น แอร์ฟอร์ซ และย้ายสนามแข่งขันจากจังหวัดชลบุรี มาเป็นที่อาคารจันทรุเบกษา เขตดอนเมือง แถมยังได้โค้ชคนใหม่อีกด้วย พอนาวาอากาศโท เผด็จศึก วรรณโชติ เข้ามาคุมทีมทำให้ มอส รวมถึงนักกีฬาดาวรุ่งอีกหลาย ๆ คนได้รับโอกาสมากยิ่งขึ้น และนี่ก็เป็นปีที่เขากลายเป็นอีกหนึ่งตัวหลักในตำแหน่งบีหลัง ซึ่งก่อนหน้าที่อยู่กับ ชลบุรี-อี.เทค-แอร์ฟอร์ซ มา 3 ปี ก็ได้สลับลงมาเล่นบ้าง แต่พอเข้าสู่ฤดูกาล 2016 – 2017 มีรุ่นพี่หลาย ๆ คนเริ่มย้ายออกไปจากทีม รวมถึงได้ โค้ชเต้ เข้ามา เจ้าตัวจึงได้ลงเล่นมากขึ้น
โดยตอนนั้นแอร์ฟอร์ซสามารถทำผลงานได้ร้อนแรง มีการใช้งานผู้เล่นแบบผสมผสานกันอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือรุ่นน้อง ทำให้พวกเขาแพ้เพียงแค่ 2 เกมจากทั้งหมดของฤดูกาล และสุดท้ายก็คว้าแชมป์วอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ในปี ค.ศ . 2017 ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ ขยับขึ้นมาติดทีมชาติไทยรุ่นอายุต่ำกว่า 23 ปี ในรายการชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศอิหร่าน ซึ่งทัวร์นาเมนต์นี้เป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่เจ้าตัวชื่นชอบที่สุดสำหรับการเล่นให้ทีมชาติไทย โดยนักตบลูกยางชุดนี้ต่อยอดมาจากชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี นักกีฬาหลาย ๆ คนจึงรู้จัก และรู้ทางกันอยู่บ้างแล้ว
ส่วนเกมการแข่งขันที่สุดประทับใจของทีมชาติไทยรุ่น U23 นี้ก็คือเกมที่หนุ่มไทยตามหลังหนุ่มไต้หวันอยู่ 0 ต่อ 2 เซต แต่สุดท้ายก็พลิกเอาชนะไปได้ 3 ต่อ 2 เซต อีกทั้งยังสามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ของรายการชิงแชมป์เอเชียได้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว ถึงตอนจบของทัวร์นาเมนต์จะได้เพียงแค่อันดับ 4 แต่ก็เป็นรายการที่ทีมชาติไทยเล่นกันได้ยอดเยี่ยม และน่าภูมิใจมาก ๆ
ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ เคยลงเล่นให้กับสโมสร แอร์ฟอร์ซ หลายปี พร้อมคว้าแชมป์ไทยแลนด์ลีก ได้ 2 สมัย ในฤดูกาล 2016 – 2017 และ 2018 – 2019 รวมถึงแชมป์ซูเปอร์ลีก 1 สมัย ในปี 2018 จนเมื่อ แอร์ฟอร์ซ ทำการยุบสโมสรลง เจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่กับสโมสร ไดมอนด์ ฟู้ด และคว้าแชมป์ไทยแลนด์ลีกได้เพิ่มอีก 1 สมัยในฤดูกาล 2021 – 2022 ส่วนผลงานกับทีมชาติไทยนั้นเขาเคยคว้าแชมป์อาเซียนในรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ได้ 2 สมัยในปี 2014 และ 2016 โดยขยับรุ่นมาติดทีมชาติไทยชุดอายุตำกว่า 23 ในปี 2017 และ 2019 จนถึงปัจจุบัน ภูสิทธิ ก็ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้แบบเต็มตัวแล้ว
นี่ก็คือเรื่องราวของ ภูสิทธิ โพธิ์นรินทร์ เทพบีหลังแห่งวงการวอลเลย์บอลไทย ที่เรานำมาให้เพื่อน ๆ แฟน ๆ ชาววอลเลย์บอลได้รู้จักถึงตัวตนของเขากัน ซึ่งบทสรุปของ มอส ก็ยังคงต้องผ่านเส้นทางอีกยาวไกลในวงการวอลเลย์บอล และการเป็นนักตบลูกยางอย่างที่ฝันเอาไว้ก็ได้สร้างเพื่อน สร้างความสุข สร้างชื่อเสียงพร้อมรายได้ให้กับเขาเป็นที่น่าพอใจ ถึงผลงานของเจ้าตัวอาจจะต้องมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่ มอส ก็ยังคงพยามต่อไปไม่ว่าจะได้ลงเล่นกับสโมสรใดก็ตามที