สวัสดีเพื่อน ๆ แฟน ๆ ชาววอลเลย์บอลทุก ๆ ท่าน หากย้อนกลับไปสักหน่อยเมื่อช่วงฤดูกาล 2018 – 2019 กัตติกา แก้วพิน คือนักกีฬาหญิงที่ทำแต้มสูงสุด โดยเก็บไปคนเดียวถึง 260 คะแนน ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวมีส่วนสูงเพียง 168 ซม. เท่านั้น ยิ่งถ้าไปเปรียบเทียบกับนักตบลูกยางคนอื่น ๆ ดาว ยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีก แต่ทำไมเธอถึงโกยแต้มแบบเป็นกอบเป็นกำขนาดนั้น และมีสิ่งใดช่วยให้ ดาว โชว์ฟอร์มได้ร้อนแรง วันนี้เราจึงจะพาเพื่อน ๆ ไปไขคำตอบกันกับบทความ กัตติกา แก้วพิน นักวอลเลย์บอลสาวใจสู้แห่งสโมสร ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์
กัตติกา แก้วพิน ปัจจุบันอายุ 28 ปี และสิ่งที่ทำให้เธออยู่ในวงการวอลเลย์บอลได้ในตำแหน่งตัวเสาแต่จะมีส่วนสูงไม่มากก็คือ พลังการกระโดดอันมหาศาล พร้อมน้ำหนักการตีที่ถือว่ารุนแรงมาก ๆ ส่งผลให้เธอกลายเป็นตัวหลักพร้อมตำแหน่งกัปตันใน สโมสร ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์ หรือ ไก่ฟ้ามหากาฬ เรื่อยมา แถมยังเคยติดทีมชาติไทยในสมัยยุครุ่งเรืองอีกด้วย
กัตติกา แก้วพิน โดดเด่นตั้งแต่วัยเยาว์กับโรงเรียนกีฬานครนนท์ 6 โดยผลงานอันยอดเยี่ยมตอนนั้นทำให้เธอก้าวสู่เส้นทางทีมชาติไทยชุดเยาวชน ซึ่งเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกับ ดาว ก็มีผู้เล่นดัง ๆ ในยุคปัจจุบันหลายต่อหลายคน เช่น อัจฉราพร คงยศ, แก้วกัลยา กมุลทะลา และทัดดาว นึกแจ้ง แต่พอเข้าสู่ทีมชาติชุดใหญ่ช่วงแรก ๆ กัตติกา แก้วพิน กลับไม่ค่อยได้รับโอกาสเท่าที่ควร และมักจะติดเฉพาะทัวร์นาเมนต์รอง ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 2014 เธอก็มีรายชื่ออยู่ในรายการวอลเลย์บอลชิงแชมป์โลก ที่ประเทศอิตาลี เนื่องจากเวลานั้นทีมชาติไทยถูกแบ่งออกเป็น 2 ชุด เพราะมีการแข่งขันชนกับรายการ เอเชียนเกมส์ ที่ประเทศเกาหลีใต้ และหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลก กัตติกา ทำแต้มไปได้ทั้งหมด 26 คะแนน
กัตติกา แก้วพิน เป็นนักตบลูกยางที่เคยย้ายไปเล่นในลีก อินโดนีเซีย มาแล้ว 2 ครั้ง โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2014 ลงสนามให้กับ Jakarta Pertamina Energi ประมาณ 4 – 5 เดือน จนสโมสร Jakarta Electric PLN เห็นฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวจึงทำการดึงตัวมาร่วมทีม ในตอนนั้น ดาว ใช้เวลาเป็นเดือนในการตัดสินใจ และสุดท้ายก็ตอบตกลง
โดยเธอปรึกษากับ สุบรรณ ผัวะทอง โค้ชของทีมมหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์ ต้นสังกัดในอดีต และได้คำตอบว่าการเล่นอาชีพในต่างแดนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เคยฝันเอาไว้ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเมื่อเรายังเล่นได้ดีอยู่ แถมโชว์ฝีมือให้ทีมจากต่างประเทศได้เห็น เมื่อเขายื่นสัญญามาหากบอกปัดไปก็อาจจะทำให้เสียโอกาสในอนาคตก็เป็นได้
ช่วงแรกที่ ดาว เดินทางมาอินโดนีเซียครั้งแรกประมาณปลายปี ค.ศ. 2014 ก็มาพร้อมกับ มลิกา กันทอง เพื่อช่วยทีม Jakarta Pertamina Energi ป้องกันแชมป์ ทำให้เจ้าตัวมีความกดดันพอสมควร แต่เมื่อมาแล้วก็ต้องพยามเล่นให้ดีที่สุด
สำหรับอินโดนีเซียลีกนั้นแตกต่างกับไทยแลนด์ลีก เพราะโปรแกรมเยอะมาก ถึงแม้จะมีทีมเพียงแค่ 6 สโมสรก็ตาม แถมตารางยังแปลก ๆ การแข่งขันก็ไม่ได้เล่นแบบเหย้าเยือนเหมือนประเทศไทย เขาจะย้ายสนามไปแข่งตามเมืองต่าง ๆ สลับกันไปเรื่อย ๆ เนื่องจากส่วนใหญ่อินโดนีเซียมีพื้นที่เป็นเกาะทำให้เดินทางลำบากเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าได้เรียนรู้ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ เยอะมาก และได้ทราบถึงวิธีการเล่นของต่างชาติ
ส่วนเรื่องการฝึกซ้อมก็หนักไม่แพ้ที่ไทย โดยเริ่มกันตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้าจนถึงเวลาพักเที่ยง และตอนบ่าย 3 โมงจึงกลับมาซ้อมอีกจนถึง 6 โมงเย็น แต่บางครั้งก็อาจจะเลยไปถึง 1 ทุ่ม แต่ตอนรอบ 2 ที่มานี้ตนเองรู้สึกว่าสนุกกว่าการมาครั้งแรก กัตติกา แก้วพิน เลือกเดินทางสายนี้เพราะอยากเป็นนักวอลเลย์บอล มีข้อเสนอมาก็อยากลองไปเล่นที่ต่างประเทศ ทั้งนี้หลัก ๆ ก็เพื่อที่ตนเองจะได้พัฒนาฝีมือให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังได้เงินไปช่วยเหลือครอบครัวอีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป กัตติกา แก้วพิน หวนกลับมายังลีกไทยอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูกาล 2018 – 2019 เธอก็กลายเป็นผู้เล่นหลักของสโมสร ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์ และสามารถไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ พร้อมคว้าอันดับที่ 3 มาครอง แถมฤดูกาลนั้น ดาว ยังได้รับรางวัลส่วนตัวถึง 3 รางวัลคือ หัวเสายอดเยี่ยม, เสิร์ฟยอดเยี่ยม และ ผู้ทำคะแนนสูงสุดของวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก เรียกได้ว่านี่คือจุดพีคของเจ้าตัวก็ได้
และพอจบฤดูกาลกับฟอร์มอันร้อนแรง ส่งผลให้ทางสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย เรียกเธอมาเข้าแคมป์ทีมชาติเพื่อลงแข่งรายการต่าง ๆ ในปีนั้น แต่สุดท้าย ดาว ก็ต้องปฏิเสธโอกาสสำคัญนี้ไปอย่างเสียดายเพราะติดสัญญาต้องย้ายไปเล่นยังลีกต่างชาติอีกครั้งที่ประเทศฟิลิปปินส์
แม้จะเคยผ่านการเล่นลีกอาชีพต่างแดนทั้งที่ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ มาแล้ว หลังจากจบฤดูกาล 2020 กัตติกา แก้วพิน ก็ยังคงกลับมาเป็นตักหลักของ ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์ เช่นเคย และเธอก็สามารถโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมได้เหมือนเดิม
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นักวอลเลย์บอลที่ตัวค่อนข้างเล็กอย่าง ดาว เก่งกาจได้ ก็เพราะเจ้าตัวทดแทนความสูงด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย รวมไปถึงความฟิตที่เล่นได้ต่อเนื่องไม่มีหมดแรง บวกกับลูกตบที่หนักหน่วง กระโดดได้สูง พื้นฐานแน่น พร้อมมีไหวพริบในการเล่นสูง ทั้งหมดมันจึงทำให้ นครนนท์ จำเป็นต้องใช้งานเธอแบบต่อเนื่อง ถึงตอนเริ่มต้นฤดูกาล 2019 – 2020 ไก่ฟ้ามหากาฬ จะยังเล่นไม่ค่อยออก และแพ้ไป 2 นัด แต่พอ กัตติกา แก้วพิน กลับมาเล่นได้อย่างโดดเด่น ทีมก็สามารถคว้าชัยชนะแบบต่อเนื่อง พร้อมจบเลกแรกด้วยอันดับที่ 3
พอเข้าสู่เลกที่ 2 ดาว ก็ยังคงฟอร์มเก่ง แสดงศักยภาพออกมาให้ทุก ๆ คนได้เห็น ทำให้ทีมสามารผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยการจบเป็นอันดับที่ 4 อีกทั้งยังทำแต้มส่วนตัวได้มากมาย รวมถึงยังเอาชนะสโมสร ไดมอนด์ ฟู้ดฯ ที่ตอนนั้นมีนักตบทีมชาติอย่าง อรอุมา สิทธิรักษ์, มลิกา กันทอง และ อำพร หญ้าผา ลงได้สำเร็จ แต่ปีนั้นดันเป็นปีที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 พอดี จึงทำให้ต้องเลือนการแข่งขันรอบสุดท้ายออกไป โดย 4 ทีมสุดท้ายเหลือเพียงแค่แชมป์เก่าอย่างสโมสร นครราชสีมา, ขอนแก่นสตาร์, สุพรีม และ นครนนท์ ของ กัตติกา แก้วพิน แล้วทีมไหนจะเข้าป้าย ดาว จะโชว์ฟอร์มได้ดีแค่ไหนเราก็มาต่อกันเลย
ฤดูกาลนั้นจะเป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด 4 ทีม และสุดท้าย ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์ ก็ไม่อาจจะต้านทานไหว ทำให้ กัตติกา แก้วพิน จบฤดูกาลด้วยการได้เพียงอันดับที่ 4 ส่วนทีมชนะเลิศได้แก่ เจนเนอราลี่ สุพรีม ชลบุรี อีเทค อันดับ 2 เป็น ขอนแก่นสตาร์ วีซี และอันดับ 3 คือ นครราชสีมา เดอะมอลล์ วีซี เป็นที่น่าเสียดายสำหรับ ดาว ซึ่งในปีถัดมา ฤดูกาล 2020 – 2021 นครนนท์ ก็สามารถเข้ารอบสุดท้ายได้เช่นเคย แต่ก็ยังทำได้แค่เพียงอันดับที่ 4 เหมือนเดิม
ผลงานระดับชาติของ กัตติกา แก้วพิน ที่เคยฝากเอาไว้มีดังนี้ ปี ค.ศ. 2012 ในรายการเยาวชนหญิงชิงแชมป์เอเชีย เธอได้รางวัลผู้ทำคะแนนสูงสุด กับทีมชุดยุวชนปี ค.ศ. 2010 รายการชิงแชมป์เอเชีย ได้เหรียญทองแดง และปี ค.ศ. 2011 รายการชิงแชมป์โลก ได้อันดับที่ 13 สำหรับชุดเยาวชนปี ค.ศ. 2012 รายการชิงแชมป์เอเชีย พาทีมได้อันดับที่ 4 และ ค.ศ. 2013 รายการชิงแชมป์โลก ได้อันดับที่ 18 ส่วนทีมชาติชุดใหญ่เจ้าตัวลงแข่งขันในรายการ วอลเลย์บอลชิงแชมป์โลก 2014 และจบด้วยอันดับที่ 17
ทั้งหมดนี่ก็คือบทความ กัตติกา แก้วพิน นักวอลเลย์บอลสาวใจสู้แห่งสโมสร ทรีบรอดแบนด์ นครนนท์ ซึ่งจะทำให้เพื่อน ๆ ได้เห็นว่าแม้ว่ารูปร่างจะเสียเปรียบ แต่หากพยามสร้างสิ่งอื่นมาทดแทนนักกีฬาก็จะสามารถยืนระยะในวงการได้ยาว ๆ ขอเพียงแค่ต้องตั้งใจจริง มีความขยันฝึกซ้อม พัฒนาตนเองอยู่เรื่อย ๆ และหากมีโอกาสก็ให้เลือกในสิ่งที่ใฝฝัน เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสนั้นจะมาถึงอีกเมื่อไร สำหรับวันนี้ก็ขอตัวลาเพื่อน ๆ ไปก่อน พบกับเราได้ใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ